งาน-จ้า-งาน

 
การเดินทางครั้งนี้มาสามอาทิตย์ อาทิตย์แรกก็เป็นการสอน การเวริ์คชอปพื้นฐาน พออาทิตย?ี่สองที่ลงเรื่องและจัดทำอุปกรณ์ทุกอย่าง ลงเสียงตัดต่อดนตรี งานหนักก็คือทำหัวและหางพญานาค ซึ่งเป็นเรื่องการหาวัสดุอุปกรร์ที่ไม่เหมือนกับที่บ้านเรา ก็หนักเอาการกว่าจะได้ กว่าจะเสร็จได้ดังใจ
ส่วนการแสดงของเราผ่านไปได้ด้วยดีทั้งสองรอบ ถึงแม้คนจะไม่เยอะ เมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่ที่ใหญ่มาก แต่คนดูชอบและประทับใจมาก คุณลุงของเราซึ่งชอบมากอยู่แล้วตั้งแต่ทำเรื่องและดูการซ้อม ก็หน้าบานมีความสุข 
 
แต่ภาระกิจของเรายังไม่จบ อาทิตย์สุดท้าย คาเงะแสดงงาน GODa Gardener ตอนสองทุ่มที่อาคารสำนักงาน ที่ Candle Wood โดยมีเราและนักเรียนป.โทอีคนอ่านบรรยายให้ งานนี้เป็นที่ประทับใจผู้ชมที่มาดูมาก เพราะเป็นงานที่มีเนื้อหา และการแสดงมีพลังน่าประทับใจ เป็นการแสดงที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่ามันแตกต่าง สองจุดที่ติดใจผู้ชมมาก็คือ ตอนแจกแตงโม กับ โทรทัศน์ตอนจบเรื่อง และคงเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนหลายคน ผู้ชมที่มาดูก็มีทั้งครอบครัวมีเด็กมาด้วย นักเรียน พนักงานของสำนักงาน คนที่อยู่แถวนั้น มีนักเรียนป.โทสองคนจากมาเลเซียมาดูงานด้วย เขาชอบมาก และคุญกับเราอีกพักใหญ่  ก็ประสบคามสำเร็จดี ถึงแม้ใบปลิวประชาสัมพันธ์จะเขียนผิดไปว่า เป็นการแสดงรำไทยก็ตาม
 
ส่วนวันถัดไปเราแสดงงานที่กำกับนักเรียนสองคนในเรื่อง Ghost Story ซึ่งก็คือเรื่องแม่นาคนั่นแหละ เป็นบทดูโอสองคนระหว่างผัวเมีย เป็นบทสั้นๆ One Act Play ให้นักเรียนในโครงการมาดู เป็นการทำนำร่องไว้ให้เขาใช้ซ้อมกันต่อไปเขาจะจัดแสดงในเดือนกันยายนนี้
 
นับว่าการมาครั้งนี้แม้จะงานหนักมากเพราะมีกันแค่สามคนกับคุณลุงที่เป็นเจ้าของโครงการ   เราต้องทำเองทุกอย่าง เขาไม่มีสต๊าฟให้ ไม่มีแม้แต่ช่างเทคนิค และงานก็เร่งมาก แต่ผลออกมาก็ดี ประทับใจ นักเรียนก็ชอบและมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในแง่การใช้ร่างกาย การใช้ครีเอทิวิตี้ การทำงานกลุ่ม ซึ่งเป็นยากที่ทำให้เด็กฝรั่งทำงานแสดงแบบเป็นกลุ่มได้ ก็อาจจะได้กลับมาอีกในปีหน้าน่ะนะ   อาจจะ…..อาจจะ
 

ไปเที่ยวฟาร์ม

 

คนที่นี่เขาเป็นเกษตรกรปลูกถั่วกับข้าวโพด แต่บ้านที่เขาอยู่ดูดี ทุกบ้านมีรถยนตร์ดีๆขับ มีรถไถ แถวมีรถบ้านเอาไว้ไปปิคนิคกันอีก ไม่เหมือนเกษตรกรบ้านเราหรอกที่ปลูกข้าวให้คนทั้งประเทศกิน แต่เขาก็จนอยู่ยังงั้นไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้เราแปลกใจว่าเกษตรกรบ้านเขารวยจากอะไรกันน่ะ ชีวิตของเขาสะดวกสะบายและดูสงบสุขมากจนต้องส่งทหารเข้าไปยึดอิรักเพื่อเป็นทุนสำรองให้อยู่ได้อย่างสุขสงบอีกต่อไปนานแสนนานล่ะมั้ง?  แต่……ก็ไม่ได้ถามใคร ถนอมน้ำใจเจ้าบ้านไว้ก่อน ก็รู้อยู่ว่าคนที่ดูแลเราเขาเป็นคนใจดีรักสงบและรักเอเชียมาก เขาก็คงไม่ชอบใจเรื่องสงครามหรอก 

 

วันนี้คุณลุงเลยพาเรามาเที่ยวฟาร์มบ้านคนรู้จัก ซึ่งอยู่ในหุบเขา ก็ขับรถออกมาหน่อยก็เจอเรื่อกสวนและทุ่งหญ้า เจอลำธาร เห็นกวาง แล้วเราก็มาเจอบ้านเพื่อนของคุณลุง บ้านนี้เขาเลี้ยงหมาแก่ๆสองตัว มีแมวสีดำที่เป็นมิตรกับหมา มีแพะ และมีม้าอีกหนึ่งคอก เป้าหมายของคุณลุงคือมาแปรงขนม้า และมาหา ยูนิคอร์น แต่เปล่านะ ไม่ใช่ยูนิคอร์นแบบในนิทาน เจ้ายูนิคอร์นตัวนี้มันเป็นแพะที่มีเขาเดียว และที่สำคัญโดดเด่นคือพ่อเจ้าประคุณคงนึกว่าตัวเองเป็นม้า มันจึงอยู่แต่กับฝูงม้า เดินไปไหนมาไหนกับม้า ไม่ยี่หร่ะกับพวกแพะ แล้วมันก็ดูท่าทางผยองสง่าราวกับว่า ชั้นเป็นม้านะ แล้วมันก็เดินจากไปกับพวกม้า ปล่อยพวกเรายืนขำท่าทางของมัน

 

นี่แหล่ะจุดประสงค์ในการมาวันนี้ มาเพื่อมาสัมผัสตัวเจ้ายูนิคอร์น เพราะคุณลุงเชื่อว่ามันจะนำโชคดีมาให้พวกเรา และวันนี้ก็เป็นแสดงวันแรกของเรา  ส่วนคาเงะของเราดีใจที่เจอเจ้าแมวดำมากกว่า รีบตรงรี่เข้าไปอุ้มราวกับเป็นน้องชายที่ไม่เจอหน้ากันมาสิบปี นี่แหละมันคือ เงา เขาบอกเราว่างั้น  

อาหารการกิน

 
เป็นรื่องที่น่าเหนื่อยมาก เพราะอาหารที่นี่จานโตมากสำหรับเรา และด้วยความเกรงใจบวกกับความเสียดายทรัพยากร ก็ต้องพยายามกินให้หมด ซึ่งบางครั้งมันก็พะอืดพะอม ตอนหลังๆต้องถามและพยายามหาอาหารจานที่เล็กที่สุด
 
อาหารมื้อแรก ตอนเช้าที่ไปถึง หลังจากคุณลุงขับรถพาเราออกมาจากสนามบินได้สักพัก ก็เเวะที่ร้านวัฟเฟิล์ล อาหารเช้า คือ ไข่ดาวสองฟอง กับเบคอร์นน้ำมันเยิ้ม และ ชีสทอดอีกหนึ่งกอง ชีสน่ะ….มันคือชีสนะ โอ้ว….เรากินไม่ไหมดหรอก ทำไมมันเยอะยังงี้ อ้อ…แล้วกาแฟที่นี่ก็จืดมาก ทำให้เรารู้ว่าทำไม เขาถึงกินกาแฟกันได้ทั้งวัน ก็เพราะมันจืดยังกับน้ำน่ะสิ แม้แต่สตาร์บั๊คก็จืดกว่าที่บ้านเรา
 
ที่นี่แทบไม่มีคนไทยเลย มีนักเรียนไทยอยู่สี่ห้าคนมั้ง แต่มาดูการแสดงของเราแค่คนเดียว เขามาเรียนเรื่องวิทยาศาสตร์เรื่องยาประมาณนี้แหละ ไม่มีมาเรียนละคร ที่นี่มีร้านอาหารไทยอยู่ร้านหนึ่ง เราก็ไปกัน ก็อย่างว่า ร้านอาหารไทยในต่างแดน ถ้าไม่ใช่คนไทยทำก็ไม่เหมือนกับที่บ้านเราอยู่แล้วแหละ ไปร้านอาหารจีนยังดีกว่า ยังเหมือนอาหารที่เรากินมากกว่า ร้านนี้ ชื่อ ไชนีสวัน ก็พอโอเค เป็นอาหารบุฟเฟ่
 
แต่ร้านที่ประทับใจมากกลับเป็นร้านอาหารเม็กซิกัน อร่อยมาก มีรสชาติ และเผ็ค มีพริกดองอร่อยๆให้ด้วย  นอกนั้นถ้ากินที่ยูก็ กินซุปกับสลัด แล้วก็กลับมาทำอาหารเองที่บ้านโดยมีคุณครูผู้แปลงร่างเป็นพ่อครัวใหญ่ทำอาหารโดยเราเป็นลูกกะจ๊อก คอยหั่นเนื้อ ล้างผัก แล้วก็ล้างจาน

การเดินทางโดยเท้าไม่แตะพื้นดิน

 
การเดินทางขาไป ใช้เวลาประมาณสองวัน แต่ต้องต่อเที่ยวบินสี่หนน่ะ และต้องรอและรออยู่ในสนามบิน ขาไปบินจากสุวรรณภูมิไปชางกิสิงคโปร์ แล้วรอหกชั่วโมง ก็นอนในสนามบินนั่นแหละ แต่ที่นี่ดีมากคือมีคอมพิวเตอร์ให้เช็คเมลล์ได้ฟรี เลยพอมีอะไรให้เล่นยามว่างบ้าง เขามีเวลาให้ใช้ได้ประมาณ สิบนาที ก็เวียนไปเครื่องโน้นเครื่องนี้ไปเรื่อยๆ แอร์ในสนามบินนี้หนาวอาจเป็นเพราะกลางคืนด้วยแหละ เวลานอนก็ไปหาม้านั่งว่างๆ แล้วก็นอน มีคนนอนในสนานมบินเยอะเหมือนกัน ก็ดีมีเพื่อนและได้นอนในที่ที่ใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรกแปลกดี เราติดผ้าห่มผืนบางไปด้วยก็สบายหน่อย พอสักประมาณ ตีสามตีสี่ก็ถุกทหารปลุกขึ้นมา กำลังงัวเงียๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นการ์ดหทารถือปืนยาวมาสองคน เขาขอตรวจพาสปอร์ต ก็ให้เขาดู แล้วก็นอนต่อ เขาก็ไปตรวจของทุกคน ก็รู้สึกปลอดภัยดี
ตอนเช้ารีบตื่นหาอะไรรองท้อง ไปต่อเครื่องคราวนี้ไปอีก หกชั่วโมงไปที่อินชอนเกาหลีใต้ …. เฮ้อ……ทำไมต้องบินขึ้นลงไปมาด้วยล่ะเนี่ย…
มาถึงอินชอนแค่ออกไปรอที่นอกเครื่องแค่ประมาณครึ่งชั่วโมง เอาล่ะทีนี้นั่งกันยาวประมาณ สิบสามชั่วโมงแต่โชคร้ายตรงที่ได้นั่งหางเครื่องเลยล่ะ คือไม่ได้เอนหลังเลย แต่ก็ดีตรงที่มีจอให้ดูหนังนี่แหล่ะ เอาล่ะหยวนๆ ดีนะที่เป็นสิงคโปร์แอร์ไลน์ 
มาถึงซานฟรานซิสโก ก็ต้องเข้าแถวตรวจหนังสือเดินทาง จำได้ว่าที่นี่เมื่อเจ็ดปีก่อนโคตรวุ่นวายเลย คือคนจากเครื่องเยอะมากมาจากหลายเที่ยวบินแล้วก็ต้องมาแย่งกันเข้าแถว ซึ่งแคบมาก แล้วก็ไม่แบ่งว่าช่องไหนเป็นช่องไหน ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยบอก ครั้งที่แล้วเรามากันเป็นขบวนใหญ่เกือบยี่สิบคน ต่อแถวนี้แล้วก็ต้องย้ายไปอีกแถว งงไปหมด แต่ครั้งนี้ดีหน่อย จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยตะโกน ตัดแถวให้ ก็ไม่มีอะไรก็ผ่านมาด้วยดี แต่คนเมืองซานฟรานหรืออาจจะเป็นแต่พวกเจ้าหน้าที่พนักงานไม่ค่อยจะน่ารักไม่ไนซ์ เรายืนต่อแถวอยู่เป็นคนสุดท้าย คิวหน้าเราเขามีปัญหาเราต้องรอนานมาก  ช่องข้างๆก็ว่างแต่คุณเธอไม่เรียกฉันเข้าไป รออยู่นั่นแหละ สักพักหนึ่งช่องที่อยู่เยื้องกันไปอีกหน่อยเขาใจดีเรียกเราเข้าไป นี่แหละถึงทำให้เรารู้ว่า ทำไมเพื่อนฝรั่งจากซานฟรานของเราถึงชอบเมืองไทยและอยากอยู่บ้านเรามากกว่าบ้านเขา มาครั้งนี้ไม่ได้ออกนอกสนามบิน ก็อยู่ในนั้นนั่นแหละ หาเก้าอี้แล้วก็หลับ รอ ไฟลท์ต่อไปจากซานฟรานไปซินซินเนติ ก็จะถึงที่หมายซะที 
จากซานฟรานขึ้นเครื่องของเดลต้าแอร์ ก็เครื่องบินในประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องเล็กและที่นั่งก็แคบ (ทั้งที่พวกเขาก็ตัวใหญ่มาก ทำไมทำเก้าอี้เล็กก็ไม่รู้) บนเครื่องแจกแค่น้ำขวดน้อยกับแคร็กเอกร์เท่านั้น เราต้องนั่งนานอีกห้าชั่วโมง เวลาเดินทางน้ำสำคัญที่สุด แต่ตอนนี้ ก่อนขึ้นเครื่องเขาก็ไม่ให้เอาน้ำชึ้นมาแล้ว พวกโลชั่นครีมต่างๆก็ต้องเอาออมาใส่ถุงมีซิบ ตรวจกันละเอียดยิบ เหนื่อยตอนต่อเครื่อง ต้องยกกระเป๋าที่หนักแสนหนักผ่านเข้าเครื่องตรวจ ต้องเอาโน็ตบุ๊คออกจากกระเป๋าด้วยนะ อ้อ….ที่นี่ต้องถอดรองเท้าเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่งด้วย  เสร็จแล้วก็ต้องเก็บทุกอย่างอย่างรวดเร็วไม่ให้จราจรติดขัด  
โอ้ว…..มาถึงซินซินเนติ เท้าจะได้เจอพื้นดินซะที แต่ตอนออกมันต้องเดินไกลมากและเราก็หนักมาก กว่าจะมาถึงที่รับกระเป๋าก็เพิ่งรู้ว่าเซ่อ เขามีรถไฟให้ขึ้น แต่เราไม่รู้ว่ามันไปไหน เลยไม่ชึ้นเลยต้องเดินซะไกลเป็นกิโล เฮ้อ……ปวดหลังจนกรดูกกระเดี้ยวปวดร้าว  แล้วเราก็เจอคุณลุงมารับ คราวนี้ก็สบายแล้วเรา ฮัลเลลูย่า….. นั่งรถไปต่ออีกชั่วโมงกว่าๆเพื่อไปไมอามียู โอ้….สองข้างทางเขียวขจีไปหมดด้วยทุ่งหญ้า และต้นไม้ต้นสน มีเนินเขาโล่งๆด้วย ให้นึกถึงหนังที่มีอินเดียแดงโผล่มานั่นแหละ นี่คือรัฐโอไฮโอ ทางตอนใต้ สมัยก่อนเป็นดินแดนของอินเดียแดง แต่น่าเสียใจพวกเขาถูกไล่ออกไปหมดแล้ว
 
 

เมืองฝรั่งแบบบ้านบ้าน

 
เผลอแป๊บเดียว ก็เกือบสามอาทิตย์แล้วที่ไมอามียู ในเมืองอ๊อกฟอร์ด รัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆแบบชนบท ตอนที่มาอากาศดีมากคือเป็นช่วงซัมเมอร์ก็อากาศร้อนแบบเชียงใหม่บ้านเรา และดอกไม้เยอะแยะ ต้นไม้ก็ยังเขียวอยู่ บ้านช่องของคนที่นี่น่ารักมาก เขาจัดหน้าบ้านน่ามอง และไม่ต้องมีรั้วบ้าน ช่วงที่มาเป็นช่วงนักเรียนน้อย เพราะปิดเทอมกำลังใกล้เปิดเทอม (ซึ่งก๋คือเมื่อวานซืนนี้เอง เปิดเทอมวันแรก นักเรียนและผู้คนกลับมาเยอะแยะมากมาย) ชาวบ้านที่นี่จริงๆน่ารักมาก ส่วนมากเป็นผู้ใหญ่สูงอายุ เขารู้จักกันหมด และทักทายกันทุกครั้งที่เจอหน้า มารยาทดีสุดๆ ดีกว่าบ้านเราที่ว่าเป็นสยามเมืองยิ้มซะอีก และรถน้อยมาก ที่นี่ดีอย่างหนึ่งคือเขาเคารพกฏจราจรกันมาก ถ้าแยกไหนไม่มีไฟแดง เขาจะไม่แย่งกันไป เขาจะหยุดและรอสลับกันไปทีละคันตรงสี่แยก 
 
ช่วงอาทิตย์แรกเป็นช่วงการสอน ก็ช่วยครูสอน ครึ่งวัน ทั้งวันบ้าง นักเรียนที่มาเรียนกับเราน้อยแค่ ๕ คน แต่ก็ยากที่จะให้พวกเขาเรียนรู้เป็นนักแสดงแบบเล่นเป็นกลุ่ม แต่เขาก็ประทับใจครูของเรามากอยู่ ช่วงอาทิตย์ที่สอง เป็นช่วงหฤโหด เพราะต้องทำเรื่อง ซ้อมทั้งเรื่อง และต้องทำอุปกรร์ต่างๆนาๆ เมื่อคาเงะมาถึงเราก็ลุยกันเลย  และเราไม่มีคนช่วย  ต้องทำเองทุกอย่างซึ่งก็ทำได้อยู่ แต่เราต้องเร่งนี่น่ะสิ ก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน นี่มันเหมือนต้องยกทั้งคณะมากันเลยนะเนี่ยนะ
 
แต่แล้ว ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี การแสดงออกมาดี เป็นที่ประทับใจของผู้ชม ของนักแสดง และเราเองก็ด้วยเหมือนกัน หวังว่าจะได้รัสเตจน่ะนะ เราเองอาจจะทำอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ตอนนี้ก็คิดๆไว้นิดหน่อย ไว้รอดูกันต่อไป
 
ตอนนี้หิวข้าวมาก…..อยากกินข้าวบ้าน เริ่มเบื่อสลัด กับขนมปังแล้ว อาจารย์โฮเวรอิ์ดดูแลเราดีมากเรื่องอาหารการกิน แต่เราก็ยังคิดถึงข้าวบ้านอยู่ดี อ้อ….รวมทั้งคุณครูซึ่งมักแปลงร่างเป็นพ่อครัวใหญ่เสทอๆเมื่อมีเวลา เขาก็จะมีความสุขในการชอ๊อปปิ้งอาหารสด และกลับมาที่บ้านซึ่งมีครัว เราก็เป็นลูกมือและคอยเก็บล้าง
 
มีมากมายหลายเรื่องเล่าไม่หมด จะค่อยๆเก็บมาเล่าวันหลัง เช่นเรื่อง การแสดงของคาเงะ และวันนี้ก็จะเป็นการพรีเซ็นต์โชว์เคสกำกับของเรา นักแสดง
เป้นนักเรียน ๒ คน ปีสองกับปีสี่ ในเรื่อง Ghost Story จะพรีเว็นต์ตอนทุ่มนึงวันนี้
 
และตอนนี้ก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว บ้านเราก็คงราวตีสี่มั้ง ช่วงนี้แหละเราเอ๋าและเบลอๆเสมอๆ เป็นยังงี้จนจวนจะกลับอยู่แล้ว
 
เฮ้อ…..ยังไงก็ตาม การมาเมืองมะกันครั้งนี้ก็ช่างผิดแผกแตกต่างจากการมาเมือเจ็ดปีที่แล้วเสียจริงๆ เมื่อครั้งนั้นไปสี่ที่ และก็อยู่แวดล้อมกับหมู่ชุมชนคนไทยตลอด นอนวัดเกือบที่แห่ง และไม่ค่อยชอบเมืองมะกัน แต่ครั้งนั้ที่นี่ ดูเป็นเมืองสงบและธรรมชาติ และธรรมดา อาจจะเป็นบ้านนอก มีแค่วอลมาร์ท กับร้านโครเกอร์ จะไปร้านหนังสือต้องไปอีกเมือง เวลาไปเที่ยวคุณลุงก็จะขับรถพาไปดูทุ่งถั่วและข้าวโพด พาไปเที่ยวฟาร์ม ไปดูม้าและลาแพะ แต่เราก็รู้สึกชอบและธรรมดาดี ไม่ต้องเร่งรีบกดดัน สบายๆดีอยู่ แต่ขอกินข้าวบ่อยๆหน่อยก็ดีนะ
  

Ohio Summer Blooming

 
ดอกไม้บานที่เมืองออกซ์ฟอร์ด โอไฮโอ
 
ตอนนี้ที่นี่เป็นฤดูร้อน เป็นช่วงอากาศร้อนเหมือนเชียงใหม่บ้านเรา เลยเก็บภาพดอกไม้มาฝาก