Director’s Lab 2008

 
 
เพิ่งกลับมาจากการไปร่วมโครงการ Director’s Lab 2008 ที่เชียงดาว ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์นี้และอาทิตย์หน้า ก็จะมีการโชว์ผลงานส่วนหนึ่งและจะมีการแลกเปลี่ยนพูดคุยระหว่างผู้สร้างงานกับผู้ชมผู้สนใจ ที่มะขามป้อมสตูดิโอ  สะพานควาย
 
 
 
Director’s Lab 2008 ที่มะขามป้อมลิฟวิ่งเธียเตอร์ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ปีนี้เขาจัดเป็นปีที่ 2 แล้ว ปีที่แล้วเราก็ไป ตอนนี้ที่นั่นยังหนาวอยู่เลยค่ะ ตอนกลางคืนต้องห่มผ้าห่มสำลี 4 ผืน ตื่นมาตอนเช้าก็ยังมีหมอกจนถึงแปดโมง หนาวจริงๆ แต่สู้ปีที่แล้วไม่ได้ เพราะปีที่แล้วเราไปกันช่วงเดือนมกราคมหนาวกว่านี้อีกมากมาย
 
โครงการ Director’s Lab 2008 จัดโดยกลุ่มละครมะขามป้อม เป็นการเวริ์คชอบแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของผู้กำกับละครเวทีในเครือข่ายละครกรุงเทพ ที่มารวมตัวจัดเทศกาลละครกรุงเทพกันทุกปี ที่ป้อมพระสุเมร ถนนพระอาทิตย์ ออกแบบกิจกรรมและอำนวยกระบวนการโดย คุณประดิษฐ ประสาททอง หรือ พี่ตั้ว แห่งกลุ่มละครมะขามป้อม ใช้เวลาทั้งหมด 1 อาทิตย์ ตั้งแต่วันที่ 10-16 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยไปอยู่สุมหัวกันที่มะขามป้อมลิฟวิ่งเธียเตอร์ ศูนย์เชียงดาว มีผู้กำกับและนักแสดงเข้าร่วมโครงการ 15 คน โดยที่ผู้กำกับที่เข้าร่วมโครงการจะต้องสร้างงานกำกับของตนเอง และรวมทั้งเป็นนักแสดงให้กับผู้กำกับคนอื่นๆ
 
ในแลปนี้เน้นกระบวนการแลกเปลี่ยนเนียนรู้ มีทั้งแลกเปลี่ยนเวริ์ชอป การพูดคุย การวิจารณ์งาน พูดง่ายๆ เราทำงานกันตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ทุกวันเราจะได้ดูโชว์เคสวันละ 3-4 เรื่อง ส่วนภาคกลางคืน ก็จะเป็นการเล่าเรื่องที่มาที่ไปของ แต่ละคนว่าสนใจและมาทำงานละครได้ยังไง แลปนี้นอกจากสนุกสนาน แลกเปลี่ยนความรู้กันแล้วพวกเขายังโอเพ่นมากๆ ราวกับอยู่บ้านเปิดใจนั่นเชียว ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น เกิดการเรียนรู้จากการดูงานและวิธีการทำงานของแต่ละคน ที่สำคัญเราได้รู้ที่มาไที่ไปของความคิดที่เขาทำงานชิ้นนั้น
 
 

เราส่องทางให้กัน

 
เพิ่งอ่าน Nodame Cantabile หรือเรื่อง วุ่นรักนักดนตรี ที่เป็นซีรี่ทีวีดังของญี่ปุ่น เนื้อเรื่องเหมือนเรากำลังอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น ตอนแรกๆก็รำคาญภาษาวัยรุ่นอยู่พอควรแต่พออ่านไปอีกหน่อยก็เริ่มคุ้น เรื่องน่ารักมาก ตัวละครก็น่ารัก น่าหลงใหล นั่นเองเรื่องนี้เขาถึงดัง เราเองยังอยากจะดูซีรี่ทีวีที่ว่า แล้วก็อยากภาคการ์ตูนด้วยคงสนุกมาก เพราะตอนอ่านก็เห็นเป็นภาพการ์ตูนช่องเลย เพื่อน มิตรภาพ ความรัก มีทั้งคู่กัด คู่เลิฟ รักหรือไม่รัก และการไล่ตามความฝัน ธีมเรื่องแบบนี้กับวัยรุ่นมันเป็นของคู่กัน
 
แต่ที่อยากจะพูดถึงคือการทำงานหรือการสร้างงานที่เป็นแรงกระตุ้น หรือเป็น inspire ให้คนอื่นได้ ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมได้นี่สิ มันกระทบใจอย่างแรง เรารู้สึกหัวใจเต้นแรงไปด้วยเมื่อนางเอกก่งโก๊ะของเราที่นั่งฟังดนตรีแล้วนำตาไหลพราก หรือตอนที่เธอไม่ยอมกินยอมนอนซ้อมเพลงของรัคมานินอฟ เพียงเพื่อเธออยากเล่นให้ได้แบบนั้นบ้าง เธอของเข้าแล้วต้องเอาของออกนั่นเอง แล้วเธอก็เล่นมันอย่างไม่รู้สึกตัว จนกระมั่งได้ประสานเสียงกับเปียโนคู่แล้วเธอเริ่มได้ยิน เริ่มออกจากโลกของตัวเอง เริ่มประสานท่วงทำนองไปด้วยกัน  เธอไหลลื่นไปกับดนตรีอย่างงดงาม
 
อ่านแล้วรู้สึถึงคนทำงานอย่างเราๆ ที่อยากจะเจองานหรือได้งานที่มีคนเข้ามาแทรกประสานไปด้วยกันเหมือนเรากำลังเต้นไปด้วยกัน ซึ่งหายากมาก เคยรู้สึกแบบนั้นเมื่อนานมาแล้ว เคยฝันว่าอยากสร้างงานที่เป็นตัวเรา ไม่จำเป็นต้องดูรู้เรื่องทั้งหมด  หรืองานดีพร้อมสมบูรณ์แบบ แต่อยากสร้างงานที่เป็น inspire ได้ แม้จะมีผลกับคนมี่กี่คนหรือเพียงคนเดียว เราคงมีความสุขมาก เหมือนครั้งหนึ่งเราเคยได้ดูงานของครู แล้วเราอยู่เฉยๆไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ต้องกระโจนมาเล่น งานแบบนั้นมันมีแรงเป็นพลังที่มองไม่เห็นมาดึงเราให้ลุกขึ้นมาทำ ไม่ใช่แค่นั่งดูอยู่เฉยๆ   เหมือนครั้งหนึ่งเราได้ดูงานบางชิ้นแล้วทำให้เรามีแรงที่จะสร้างงานของเราบ้าง เหมือนครั้งหนึ่งการฝึกฝนอย่างหนักได้เปิดประสาทการรับรู้ของเราทำให้เราเอาเรื่องในใจออกมาได้
 
มีหลายครั้งที่เราได้ inspire จากการทำงานแบบเป็นกลุ่ม group work ที่มี agreement ร่วมกัน ที่จะสร้าง ensemble ให้เกิดในงาน การทำงานแบบนี้สร้างทั้งแรงดลใจสร้างทั้งพลังในการคิดค้น รวมทั้งต่างคนต่างทุ่มเททั้งกายทั้งใจ เรารักที่จะทำงานแบบนี้ แต่ไม่สารถมารถใช้วิธีนี้ได้ทุกงาน บางงานก็ต้องใช้วิธีอื่น  เพราะการทำงานค้นหาแบบกลุ่มต้องอาศัยเวลามาก ยิ่งอายุเพิ่มขึ้นภาระหน้าที่ของแต่ละคนก็เพิ่มตาม 
 
งานที่ส่งแรงกระเพื่อมมันช่างห่างไกลเป็นความหวังสูงเป็นฝันที่ยังไม่ยอมตื่น เรื่องของโนดาเมะและเพื่อนๆเหล่านักดนตรีเลยเหมือนน้ำเย็นๆชุบชูความรู้สึกให้สดใสด้วยพลังฝันของเหล่าวัยรุ่น ได้เป็นแรงกระตุ้นความรู้สึกเราให้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เมื่อเวลาได้เดินทางมาไกล อายุล่วงเลย เรากำลังเดินเข้าไปใกล้สุดทางเดินเข้าทุกทีๆ บางครั้งมันสั่นคลอนและทำให้เราอ่อนไหว เรื่องของความฝันวัยเยาว์ช่วยเตือนเราให้ย้อนนึกถึงความรู้สึกกระตือรือล้นเชื่อมั่นเมื่อนานมาแล้ว ทำให้เราอยากจะฝันต่อไป
 
อยากจะบอกคนที่ยังอายุน้อยที่เป็นวัยรุ่นว่า อยากสร้างงานต้องลงทำเลยอย่ารอ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป อายุเปลี่ยน ความคิดอ่านเปลี่ยน อาจจะทำให้คุณไม่ได้ทำอะไรเลยเพียงแค่ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไป
 

Lighting Workshop ที่ทับแก้ว

 
Lighting Workshop ที่ทับแก้ว
 
 
 
เมื่อวันก่อนพระจันทร์เสี้ยวไปเวิร์คชอบการออกแบบแสงเบื้องต้น  (Lighting Design) ที่คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (ทับแก้ว) ให้กับน้องๆปี 2 และ ปี 3 ซึ่งมีมีความรู้เรื่องการทำแสงขั้นพื้นฐานมาบ้างแล้ว คอร์สนี้เป็นคอร์สแบบเข้มข้นทำจริงวันเดียวจบ สอนโดยพี่แอ๋ม (ทวิทธิ์ เกษประไพ) ผู้ออกแบบแสงและเป็น Technical Director ให้กับพระจันทร์เสี้ยวการละคร (และกลุ่มบีฟลอร์ด้วยเกือบจะทุกเรื่อง)
 
 
 
ช่วงสายๆถึงบ่ายต้นๆ เราเริ่มจากการเรียนรู้ภาคทฤฎี ที่ห้องวัชรนาฏสภา  ในช่วงบ่ายเราเริ่มเข้าสู่กระบวนการทำงาน โดยแบ่งกลุ่มทำงานเป็น 2 กลุ่ม เริ่มจากการตีความบทละคร เราจะผลัดกันทำงาน จากบทละครสั้นๆ 2 เรื่อง โดยที่กลุ่มหนึ่งจะเป็นผู้แสดง อีกกลุ่มจะทำแสงให้ แล้วผลัดกัน ทั้งการกำกับ การแสดง(แบบถือบท) การออกแบบแสง การติดตั้ง ซ้อม และโชว์ผลงาน 10 นาที โดยมีเวลาให้เรื่องละสองชั่วโมง(เท่านั้น)
 
 
ช่วงบ่ายแก่ๆเราก็ย้ายไปลงภาคปฏิบัติจริงที่โรงละครทรงพล ซึ่งเป็นโรงละครเก่าแก่ที่ขลังมากๆ เป็นครั้งแรกของพี่ๆที่ได้เข้าไปที่โรงละครแห่งนี้  บนเวทีมีจอหนังขนาดใหญ่แบบจอโค้ง แล้วผนังด้านหลังห้องก็เป็นแบบโค้งไม่เหมือนที่อื่น หลังคาโรงละครสูงดี (ซึ่งคนทำไฟก็ต้องปีนสูงด้วย)
 
 
คอร์สนี้เริ่มเข้มข้นขึ้นเมื่อเริ่มลงมือทำละครสั้นเรื่องแรก(ซึ่งเป็นบทละครสั้นที่เราเองแปลไว้สำหรับเอาไว้สอน) ทางฝ่ายละครก็เริ่มซ้อม และอีกกลุ่มก็เริ่มเตรียมอุปกรณ์ และทุกอย่างทำงานแข่งกับเวลาโดยที่ต้องประสานกัน เรื่องแรกเสร็จและโชว์ตอนหกโมงเย็น แล้วเราคุยสรุปกัน
 
 
กลับมาอีกครั้งหลังพักเติมพลัง เราก็มาทำเรื่องที่สองกัน เสร็จและได้โชว์ตอนสามทุ่ม  เป็นวันที่หนักหนาสาหัส สำหรับน้องๆที่ทำไฟเองจริงๆจังๆเป็นครั้งแรก แต่ทุกอย่างก็สำเร็จออกมาจนได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง เราคุยสรุปกันในช่วงท้าย  กว่าจะลาจากันก็สี่ทุ่มแล้วน้องก็สะบักสะบอมพอควรและมีสอบในวันรุ่งขึ้น(ขอให้โชคดี) หวังว่าประสบการณ์ดีๆในวันนี้จะได้ถูกนำไปใช้ และทำให้เราได้เจอกันอีก หวังว่าถ้าเจอกันคราวหน้า น้องๆจะกลายเป็นไอ้แมงมุมปีนหลังคาได้เก่งขึ้น